"เกษตรเทคโน" เป้าหมายที่ต้องไปให้ถึง!?

 7 ม.ค. 2557 - เกษตรกรไทยในพื้นที่ชนบทของประเทศไทย ยังขาดเทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างมาก เพราะทุกวันนี้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังอยู่ในวิถีการเกษตรแบบเก่าที่เน้นกระหน่ำหว่านปุ๋ยเคมี ย่าฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า เพื่อหวังที่จะให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก โดยที่ไม่รู้ว่าปุ๋ย และ ยาฆ่าแมลง เหล่านั้น มีส่วนช่วยให้พืชเติบโตและได้ผลผลิตมากน้อยแค่ไหน หรือยังมีวิธีกา

รอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาเกษตรกรมักใส่ปุ๋ยแบบเดียวกันหมดทุกพื้นที่ เหมือนกับการใส่เสื้อโหลที่เหมือนกันหมดทุกตัว ไม่ใช่เสื้อสั่งตัดที่มีขนาดพอดีตัวกับผู้สวมใส่

เทคโนโลยี“ปุ๋ยสั่งตัด" จุดเริ่มต้นของเกษตรแบบแม่นยำ

ดร.ประทีป วีรพัฒนนิรันดร์ ประธานมูลนิธิพลังนิเวศและชุมชน ในฐานะนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องดินและปุ๋ยที่งานช่วยเหลือเกษตรกรมาอย่างยาวนาน เปิดเผยกับ ProgressTH ว่า นวัตกรรม “ปุ๋ยสั่งตัด” คือ การตรวจวิเคราะห์ดินเพื่อให้ทราบว่าในดินมีแร่ธาตุอะไรที่เหลือค้างอยู่บ้าง และแร่ธาตุอะไรที่ต้องเติม ซึ่ง "ดิน" รากฐานสำคัญของชีวิตเกษตรกร แต่ "ดิน"กลับเป็นสิ่งที่เกษตรกรู้จักน้อยที่สุด รวมถึงเรื่องการใช้ปุ๋ยด้วย ที่ผ่านมาส่วนใหญ่ชาวนาจะไม่รู้เรื่องดินและปุ๋ยเลย บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า N-P-K ที่เขียนอยู่ข้างกระสอบ คืออะไร นี่คือปัญหาใหญ่ของเกษตรกรไทย

ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหานี้  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีการทำวิจัย "เทคโนโลยีปุ๋ยสั่งตัด" เพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมีที่มากเกินความจำเป็นผ่านการคำนวณธาตุอาหารที่ดินต้องการ เพื่อการปลูกพืชเศรษฐกิจ ข้าว อ้อย และ ข้าวโพด ประกอบด้วย 3 นวัตกรรม คือ


1) คำแนะนำปุ๋ยสั่งตัดที่พัฒนาจากแบบจำลองการปลูกพืชก็นำปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชมาพิจารณาร่วมกัน และพัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจโดยคอมพิวเตอร์ เพื่อวิเคราะห์คำแนะนำปุ๋ยที่เหมาะสมกับธาตุอาหารของดินลักษณะของการผลิตที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด

 2) ชุดตรวจสอบ  ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม (N-P-K)  ในดิน เป็นผลงานประดิษฐ์ของทีมวิจัยที่ได้เผยแพร่ตั้งแต่ปี 2541 ถือเป็นครั้งแรกของประเทศ มีความแม่นยำ สะดวก ทำให้เกษตรกรวิเคราะห์ดินได้ด้วยตัวเอง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกที่ให้เครื่องมือดังกล่าวสามารถถึงมือเกษตรกรรายย่อย ซึ่งหากเป็นแต่ก่อนต้องส่งไปห้องแล็ปใช้เวลานานหลายเดือนและเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก แต่วันนี้อุปกรณ์ตรวจวิเคราะห์ดินได้ถูกนำมาบรรจุอยู่ในกล่องที่สามารถนำไปใช้ได้ทุกที่ โดยใช้เวลาวิเคราะห์ดินแค่ 30 นาทีเท่านั้น

 3) กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบมีส่วนร่วมที่เพิ่มขีดความสามารถของเกษตรกรในการพึ่งพาตัวเอง ทีมวิจัยฝึกเกษตรกรให้เป็นนักวิจัย ใช้ไร่นาเป็นห้องทดลอง ฝึกให้เก็บและวิเคราะห์ข้อมูล เกษตรกรตื่นตัวและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมด้านการผลิต เกิดการรวมกลุ่มช่วยเหลือกัน

 ดร.ประทีป วีระพัฒนนิรันดร์ ประธานมูลนิธิพลังนิเวศและชุมชน ผู้ที่เป็นกำลังหลักในการผลักดัน
"ปุ๋ยสั่งตัด" สู่เกษตรกร เพื่อหวังจะเกษตรไทยสามารถลดต้นทุนในผลิตด้วยการลดใช้ปุ๋ยเคมีลงได้ 
ดังนั้น จึงมีการจัดตั้ง  คลินิกดิน “ปุ๋ยสั่งตัด” ให้บริการตรวจดินฟรี โดยใช้ชุดตรวจสอบ N-P-K ในดินแบบรวดเร็ว ให้คำแนะนำปุ๋ย และจำหน่ายปุ๋ยดี ราคาถูก รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกร “รู้จักการผสมปุ๋ยใช้เอง” ซึ่งนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาปลอม หรือปุ๋ยด้อยมาตรฐานแล้ว ยังได้ปุ๋ยสูตรที่ตรงกับความต้องการของพืช และได้ปุ๋ยราคาถูกกว่าปุ๋ยสูตรที่จำหน่ายในท้องตลาดอีกด้วย

 เกษตรกรสามารถนำดินมาตรวจได้อย่างง่ายๆโดยต้องมีการเก็บดินจากพื้นที่  จากนั้นนำดินนี้ไปตรวจที่ “คลินิกดิน” เพื่อให้รู้ว่า ธาตุอาหารในดินมีอยู่เท่าไร ต้องใส่ปุ๋ยชนิดใด ในปริมาณเท่าไร ซึ่งนี่คือก้าวแรกที่ทำให้ชาวไร่ชาวนารู้จัก “การเกษตรแบบแม่นยำ” (Precision Agriculture)ซึ่งเป็นการเกษตรที่มีการบริหารจัดการทรัพยากรให้สอดคล้องกับพื้นที่ โดยการนำเทคโนโลยีผสมผสานต่างๆ มาใช้  เพราะการทำเกษตรให้มีประสิทธิภาพต้องใส่ปุ๋ยให้ตรงกับชนิดดินนั้นๆ จะช่วยเกษตรกรลดต้นทุนและเพิ่มคุณภาพและปริมาณผลผลิตได้

ช่องว่างทางเทคโนโลยี อุปสรรรคใหญ่พัฒนาเกษตรกรไทย 

 สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดในขณะนี้ คือ การที่เกษตรกรไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและจำนวนมากยังขาดการตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี  ทำให้การถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆ เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะแม้แต่ “ปุ๋ยสั่งตัด” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีง่ายๆ  ที่เพียงใช้เสียมหรือจอบขุดดินและผสมดินด้วยมือและนำมาตรวจวิเคราะห์ที่คลินิกดินเพื่อที่จะลดการใส่ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ปรากฎว่ามีเกษตรกรจำนวนมากที่ไม่รู้เรื่องนี้เลย และยังไม่มีโอกาสใช้เทคโนโลยีง่ายๆแบบนี้ด้วยตัวเองสักครั้ง

รูปจาก https://student.societyforscience.org/article/drones-put-spying-eyes-sky
“Agricultural drones” หรือ เครื่องบินไร้คนขับเพื่อการเกษตร เป็นอีกเทคโนโลยีที่เสริมสร้างศักยภาพของเกษตรกรทั่วโลก เพราะสามารถช่วยเกษตรกรบินตรวจตรา วิเคราะห์การเติบโตของพืชได้อย่างทันท่วงที  โดยที่ชาวนาไม่ต้องทำเองเพียงแค่นั่งดูผลผ่านคอมพิวเตอร์เท่านั้น  แต่ทว่าหาก “ปุ๋ยสั่งตัด” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีง่ายๆ แต่ชาวไร่ชาวนาในพื้นที่ชนบทกลับไม่สามารถเข้าถึงได้ แล้วเทคโนโลยีเครื่องบินไร้คนขับ, การใช้เซ็นเชอร์อัตโนมัติต่างๆซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยซับซ้อนจะเข้าถึงชาวนาได้อย่างไร
เรื่องนี้เป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมถึงตัวเกษตรกรต้องร่วมกันคิดเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่ "เกษตรเทคโน" ด้วยการนำเทคโนโลยีต่างๆมาช่วย ไม่ต้องยากลำบากแบบแต่ก่อนอีกต่อไป

ทางออกหนึ่งในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ คือแทนที่แจกเทคโนโลยีให้เกษตรกรแบบฟรีๆ เหมือนที่ผ่านมา ซึ่งบางครั้งเกษตรกรก็ไม่ได้สนใจนำไปใช้อย่างจริงจัง   เพราะเป็นของฟรีอาจไม่รู้สึกถึงคุณค่า  ดังนั้น ควรมีการบูรณาการเทคโนโลยีการเกษตรเหล่านี้  ให้เป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้  ซึ่งเกษตรกรจะยอมจ่ายถ้าเห็นว่าสามารถลดต้นทุนได้จริง

ยกตัวอย่างเช่น รถเกี่ยวข้าว  ซึ่งเป็นเทคโนโลยี ที่ชาวไร่ชาวนาไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะเห็นชัดว่าช่วยลดทั้งแรงงานและเวลา ทำให้พวกเขายอมจ่าย และสิ่งที่ตามมาคือธุรกิจบริการรถเกี่ยวข้าว ดังนั้น
 เรื่อง คลินิกดิน “ปุ๋ยสั่งตัด” ก็เช่นกัน ควรมีการเก็บค่าวิเคราะห์ดิน เพราะหากเกษตรกรยอมจ่าย ก็แปลว่าเขายอมลงทุนและจะตั้งใจทำทุกอย่างให้เกิดความคุ้มค่า

โดยขั้นตอนต่อไปที่น่าจะทำได้  คือการผลักดัน คลินิกดิน “ปุ๋ยสั่งตัด” ให้เป็นวิสาหกิจชุมชนบริการให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยีการเกษตรแบบครบวงจร   และควรเกษตรกรให้รู้จักโลกออนไลน์ด้วย  เพื่อให้พวกเขาเข้าถึงความรู้ใหม่ๆทั้งไทยและทั่วโลก  แนวทางนี้น่าจะทำให้เกษตรกรตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น
เครดิตรูปจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1416916764
โดยในปี 2558 นี้ กรมส่งเสริมการเกษตร มีนโยบายจัดตั้ง “ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน” รวมทั้งหมด 882 แห่งในทุกอำเภอทั่วประเทศ (1 อำเภอ 1 ศูนย์) เนื่องจากเห็นว่านับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาที่กรมส่งเสริมฯได้นำเทคโนโลยี “ปุ๋ยสั่งตัด”มาใช้ในพื้นที่ชลประทานภาคกลาง 20 จังหวัด พบว่า ชาวนาสามารถลดปุ๋ยเคมีได้ 47% และผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น 7% ซึ่งทำให้ต้นทุนการปลูกข้าวลดลงเฉลี่ยไร่ละ 400-500 บาท ที่สำคัญคือเป็นการแก้ปัญหาการใช้ “ปุ๋ยผิด ปุ๋ยปลอม ปุ๋ยแพง” อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ปี 2558 การแข่งขันทางการค้าในภูมิภาคอาเซียนจะรุนแรงขึ้น ทั้งด้านคุณภาพและราคาของผลผลิตการเกษตร ข้าวไทยเป็นสินค้าเกษตรที่สำคัญที่ยังต้นทุนสูง หากชาวนาไทยยังใช้วิถีการผลิตแบบเดิมย่อมไม่เกิดความยั่งยืนในการทำนา  เกษตรกรส่วนใหญ่ยังขาดอำนาจต่อรอง ไม่สามารถพึ่งพาการปรับราคาขายเพียงด้านเดียว เพราะราคาขายต้องเป็นไปตามกลไกทางการตลาด ยากต่อการควบคุม แต่สิ่งที่เกษตรกรสามารถควบคุมได้และทำได้ทันที คือ "ต้นทุน" ด้วยการการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนากระบวนการผลิตให้มีคุณภาพมากขึ้น  

ทีมProgressTH เอง ได้เก็บตัวอย่างดิน โดยจะนำส่งดินไปตรวจที่ “คลินิกดิน”ในเร็วนี้ๆ เพื่อที่ได้ลองใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อบอกต่อกับเกษตรกรคนอื่นๆต่อไป โดยทางทีม ProgressTH จะร่วมสนับสนุนการทำงานของ ดร.ประทีป ซึ่งล่าสุดได้มีการจัดตั้งเครือข่าย “ลุ่มน้ำเจ้าพระยาป่าสัก” ซึ่งเป็นการรวมตัวของเหล่าเกษตรกรผู้นำที่เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ดินเพื่อปุ๋ยสั่งตัด ซึ่งทางเครือข่ายฯตั้งเป้าว่าปีนี้ จะปลูกข้าวด้วยต้นทุน2,500 บาท โดยลดเมล็ดพันธุ์ ลดปุ๋ย ไม่ฉีดยา และลดค่าแรง (โดยใช้เครื่องปลูกข้าว) นอกจากน้ีทางเครือข่ายฯยังได้เดินสายเปิดคลินิคดิน “ปุ๋ยสั่งตัด” เพื่อบริการตรวจดินฟรี และให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยให้เกษตรกร ในจังหวัดเชียงราย สระบุรี และ อยุธยา รายละเอียดที่นี่ 

รายละเอียดเรื่อง ปุ๋ยสั่งตัด  http://www.ssnm.info และ www.banrainarao.com

ติดตาม ProgressTH.org ใน Facebook ที่นี่ และ Twitter ที่นี่