งานเสวนาดังกล่าว จึงถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเปลี่ยนแนวทางการผลิตบุคลากรด้านสุขภาพในพื้นที่ภาคเหนือให้มีคุณภาพและศักยภาพ ตรงตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านสาธารณสุข (2560-2579) ของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ต้องการผลิตหมอ-พยาบาลให้เป็นทั้งคนดีและคนเก่งและมีจิตวิญญานของความเป็นแพทย์ที่ต้องการรักษาประชาชนอย่างแท้จริง โดยมีค่านิยมหลัก (Core Value) ที่เรียกว่า MOPH ประกอบด้วย M : Mastery การฝึกฝนตนเองให้มีศักยภาพสูงสุด O: Originality การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆต่อระบบสุขภาพ P: People -Center การยึดประชาชนเป็นที่ตั้งและเป็นศูนย์กลางในการทำงาน H: Humility มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนร่วม ซึ่งทั้งหมด Transformative Learning เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้บุคคลกรการแพทย์สามารถบรรลุค่านิยมดังกล่าวได้ เพราะนักศึกษาได้ใช้ชุมชนเป็นฐานในการเรียนรู้

นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ รองประธานกรรมการ ศสช. ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนเรื่องนี้กล่าวว่า เหตุผลที่สังคมต้องเร่งขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาและหลักสูตรการเรียนการสอนบุคลากรสุขภาพ จากการเรียนในห้องเรียน หรือเรียนจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ของโรงพยาบาล มาเป็นการเรียนรู้จากชุมชน เพราะโดยทั่วไปแล้ว ความเจ็บป่วยของประชาชนประมาณร้อยละ 90 เป็นปัญหาสุขภาพในชุมชนที่สามารถหายเองได้ ไม่ใช่โรคซับซ้อน ที่ต้องอาศัยแพทย์เฉพาะทางในการรักษา แต่การเรียนการสอนของโรงเรียนแพทย์ในปัจจุบันไม่ได้เชื่อมโยงไปถึงชุมชน เป็นการเรียนรู้แบบส่วนๆ ไม่ใช่เรียนรู้แบบองค์รวมสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ
“ในความเป็นจริงชุมชนต่างๆ ต้องการแพทย์รักษาโรคทั่วไปมากกว่าแพทย์เฉพาะทาง แต่ประเทศไทยยังผลิตแพทย์โรคทั่วไปได้เพียงแค่ร้อยละ 10 เท่านั้น ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นแพทย์เฉพาะทาง ต่างจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่นหรือในยุโรป ที่แพทย์รักษาโรคทั่วไปจะมีบทบาท และเป็นที่ยอมรับในสังคมมากกว่า เพราะจะมีความใกล้ชิดสังคมเข้าใจวัฒนธรรมแต่ละท้องที่ ยังทำหน้าที่ เป็นที่ปรึกษาสุขภาพของคนในชุมชน และหากเกิดปัญหาที่เป็นโรคซับซ้อนขึ้นจึงส่งต่อให้แพทย์เฉพาะทางทำการรักษา ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราทุกวันนี้ ที่คนไข้บางคน ต้องมีแพทย์เฉพาะทาง 4-5 คน ในการดูแลสุขภาพ หรือถ้าไปโรงพยาบาลครั้งหนึ่งก็ต้องใช้เวลาทั้งวัน ในการพบแพทย์แต่ละโรค" รองประธานกรรมการ ศสช. กล่าว
![]() |
นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ รองประธานกรรมการ ศสช. |
ขอผลิตแพทย์ชั้นดีที่รักประชาชน เศร้าใจเคสคนไข้เดินทางหลายร้อยโล ได้เจอหมอ 5 นาที
รศ.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ( มฟล.) กล่าวว่า ปัญหาการผลิตแพทย์ทุกวันนี้ คือ นักศึกษาจำนวนมากที่อยากมาเรียนแพทย์นั้นต้องการสร้างความมั่นคงให้ชีวิตมากกว่ามาเพื่อมารักษาประชาชน เพราะฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของมหาวิทยาลัยที่เราจะต้องบ่มเพาะนักศึกษาให้มีหัวใจในการบริการประชาชน เป็นแพทย์ที่มีคุณภาพและมีจิตใจของการเป็นแพทย์ที่ดี เราอยากให้มหาวิทลัยแม่ฟ้าหลวงเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีในการสร้างแพทย์ที่มีคุณภาพ ดูแลประชาชนในท้องถิ่น รักประชาชนที่รอคอยเขาอยู่
“ อยากให้นักศึกษาแพทย์ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ได้รับรู้ความรู้สึกของคนไข้ที่มารอแพทย์ตั้งแต่ตี1ตีสอง ได้คิวตอนเที่ยง โดยเฉพาะที่รพ.จุฬา และ รพ. ศิริราช ที่ประชาชนเชื่อมั่นว่าแพทย์ที่รพ.เหล่านี้จะดีกว่า แต่ปรากฎว่า หมอตรวจ 5 นาทีแล้วจ่ายยาให้ ทำให้คนไข้มีความน้อยใจรู้สึกว่ามาไกลเป็นร้อยๆกิโล มาหาหมอด้วยความหวัง มาด้วยความศรัทธา แต่หมอตรวจแค่นี้ นี่คือปัญหาที่เราอยากแก้ไขเราจะทำกันใหม่ โดยจากนี้ไปการปฏิรูปบุคลากรแพทย์ ประชาชนไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่ แค่ไปที่ รพ.ประจำตำบล/อำเภอ ก็จะได้รับการรักษาที่ดีและมีความรู้สึกเหมือนไปหาหมอในกรุงเทพฯ เราอยากสร้างแพทย์ชั้นดีที่สามารถอยู่กับชุมชนได้”
![]() |
รศ.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ( มฟล.) |
เตรียมเปิดศูนย์การแพทย์ให้นักศึกษาเรียนรู้จากคนไข้จริง
ศ.เกียรติคุณ พลโท นพ.นพดล วรอุไร คณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มฟล. กล่าวว่า แนวทางการเรียนการสอนของทางสำนักแพทยศาสตร์ มฟล. ที่เน้นความเป็นเวชศาสตร์ชุมชน พัฒนาสุขภาพชุมชน บัณฑิตแพทย์ที่จบมาแล้วมีใจรักชุมชน ซึ่งเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนแพทย์ในชนบทของประเทศทางหนึ่ง ทั้งนี้จังหวัดเชียงรายมีลักษณะพิเศษ คือมีกลุ่มชาติพันธุ์ มีคนต่างชาติ ข้ามพรมแดนเข้ามาและนำโรคและเป็นปัญหาเข้ามา ซึ่งระบาดข้ามมาจากฝั่งพม่า ฝั่งลาว คนกลุ่มนี้จะมารักษาตัวที่ อ.เชียงแสน และ อ.แม่สาย ในฝั่งไทย โรคเหล่านี้บางโรคไม่เคยมีในประเทศไทย กลุ่มนักศึกษาแพทย์ของเราจะได้เรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้เพิ่มขึ้น
"ส่วนชุมชนหรือชาติพันธุ์ต่างๆ ทางสำนักแพทยศาสตร์จะมีบัณฑิตแพทย์จบเป็นรุ่นแรกในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งทางสำนักแพทยศาสตร์จะชักชวนให้มาทำงานต่อ ทำให้เขามีโอกาสย้อนไปเยี่ยมชุมชนที่เขาเคยไปสมัยยังเป็นนักศึกษา และติดตามความก้าวหน้าในการดูแลผู้ป่วยในชุมชนหรือชาติพันธุ์ต่างๆ ได้ต่อเนื่อง โดยทางมหาวิทยาลัยจะมีการเปิด ศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยที่สามารถรับผู้ป่วยได้ 400 เตียง ซึ่งจะเปิดให้บริการในช่วง ปลายปี 2560 นี้ด้วย เพื่อให้นักศึกษาได้เรียนจากผู้ป่วยจริงและจะมีการขยายเครือข่ายไปยังรพ.ต่างๆในเขตภาคเหนือตอนบนมาทำงานร่วมกันด้วย” คณบดีสำนักวิชาแพทยศาสตร์ มฟล. กล่าว
วางรากฐานป้องกันการเจ็บป่วยแบบ Gate Keeper พลิกโฉมระบบบริการสุขภาพ
ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัด สธ. กล่าวว่า การพัฒนาการเรียนการสอนบุคลากรสุขภาพตามแนวคิดทรานส์ฟอร์มเมทีฟ เลิร์นนิง จะเป็นตัวเชื่อมในการสร้างระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิที่เข้มแข็ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ คลินิกหมอครอบครัว (Primary Care Cluster) ที่จะกลายเป็นกลไลช่วยดูแลประชาชนในพื้นที่ได้ครบทุกองค์ประกอบด้านสุขภาพได้ในอนาคต ซึ่ง สธ.วางเป้า สร้างคลินิกหมอครอบครัวให้ครบ 6,500 ทีม ในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะพลิกโฉมระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เพราะเปรียบได้กับการวางรากฐานการป้องกันการเจ็บป่วยในลักษณะ Gate Keeper ที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาดูแลสุขภาพของตัวเองกันมาก ผ่านคำแนะนำและการตรวจเบื้องต้น จากบุคลากรด้านสุขภาพของทีมคลินิกหมอครอบครัว
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ รองปลัด สธ. |
หนุนนักศึกษาแพทย์ลงพื้นที่ เป็นประโยชน์ต่อคนชายขอบ เชื่อสร้างหมอที่ดีเข้าใจคนรักษาด้วยใจมากขึ้น
ขณะที่ ทพ.ดร.วีระ อิสระธานันท์ หัวหน้ากลุ่มงานทันตกรรม รพ.แม่จัน กล่าวว่า ข้อดีของการปฏิรูปการเรียนรู้ในแบบทรานส์ฟอร์มเมทีฟ เลิร์นนิง ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่เข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้น้อยกว่าประชาชนทั่วไป การลงพื้นที่ของแพทย์ นักศึกษาแพทย์ และกลุ่มสหวิชาชีพ ตามโรงเรียนต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล อยู่บนภูเขา และช่วยรักษาโดยไม่เลือกว่าใครมีบัตรประชาชนหรือมีสัญชาติ ฉะนั้น ถือว่าเป็นการเรียนรู้การรักษาแบบมืออาชีพ เพราะการเรียนรู้จากชุมชนในพื้นที่จริงจะได้อีกมุมมองหนึ่งเป็นกระจกอีกด้าน เพราะเรื่องของการรักษาต้องเข้าใจในตัวคน เข้าใจในเบื้องหลังคนที่มารักษา การลงพื้นที่จะทำให้รู้สาเหตุของปัญหาเหล่านั้น
![]() |
ทพ.ดร.วีระ อิสระธานันท์ หัวหน้ากลุ่มงานทันตกรรม รพ.แม่จัน |
องค์การอนามัยโลก ชี้ระบบสุขภาพไทยก้าวหน้ากว่าหลายประเทศ
นพ.แดเนียล เอ. เคอร์เทสช์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำเทศไทย กล่าวว่า องค์กรอนามัยโลกขอชื่นชมประเทศไทยในการเป็นผู้นำในเรื่องสุขภาพโลก โดยเฉพาะการที่กระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยมีแนวทางการนำการเรียนการสอนบุคลากรด้านสุขภาพในรูปแบบใหม่ ที่เน้นใช้ชุมชนเป็นฐาน เพื่อผลิตบุคลากรด้านสุขภาพ โดยต้องมีการปรับหลักสูตรให้ตอบรับความต้องการของสังคม และให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการเรียนรู้ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจชุมชนและสามารถนำมาปรับใช้ในการทำงานได้
![]() |
นพ.แดเนียล เอ. เคอร์เทสช์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำเทศไทย |
ทั้งหมดนี้คือหลักการแนวคิดการนำ Transformative Learning มาใช้ในการเรียนการสอนบุคลากรสุขภาพ ซึ่งเป็นการเรียนจากสถานที่และการลงมือปฏิบัติจริงในพื้นที่ ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากนี้ไปการเรียนแบบ Passive Learning จากความรู้สำเร็จรูป สอนให้จดจำและทำตาม จะไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับผู้เรียนได้ ดังนั้น การเรียนในปัจจุบันอาจารย์จะต้องคำนึงถึงการพัฒนาทัศคติ(Attitude) ทักษะ (Skill) และ ความรู้ (Knowledge) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง (Transform) ทั้งความคิด ทัศนคติ นำไปสู่การพัฒนาทักษะที่เหมาะสมในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (Change Agent) และก่อให้เกิดทีมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ต่อไป