“ปรับ/เพิ่มทักษะ” วิชาชีพ ทางรอดยุค AI ครองเมือง


ก่อนอื่นถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องยอมรับว่่า “งานในวันนี้” แตกต่างจาก “งานในอดีต” เพราะจากนี้ไปจะไม่มีงานใดที่สามารถทำงานเดียวได้ทั้งชีวิตต่อเนื่องยาวนาน 40 ปี แบบในอดีตจะไม่มีอีกต่อไปแล้ว เพราะจากนี้ไประยะเวลาของการทำงานจะอยู่ที่ประมาณ 4.2 ปี เท่านั้น  เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องมีการเพิ่มทักษะและปรับปรุงทักษะการทำงานต่างๆ ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น 

รายงาน “การเพิ่มทักษะแรงงาน” ของ World Economic Forum  ปี 2017  ชี้ว่า 1ใน4 ของคนทำงานในปัจจุบันยอมรับว่าทักษะในการทำงานที่มีอยู่ทุกวันนี้ไม่ตรงกับความต้องการของตลาดงาน 

เมื่อรูปแบบการทำงานเปลี่ยนไป…

โดยการทำงานส่วนใหญ่ยังเป็นงานที่ยึดติดกับยุคเก่า คือ ศตวรรษที่ 19 และ  ศตวรรษที่ 20  ที่ถูกครอบงำโดยระบบโรงงาน  คือการทำงานตามคำสั่งและตามสายบังคับบัญชา และระบบการศึกษาก็ออกแบบให้คนอยู่ในกรอบระเบียบและเป็นพนักงานโรงงานที่ดี โดยมีผู้จัดการคอยประสานเพื่อทำให้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขณะที่งานในศตวรรษที่ 21 หรือในยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบใหม่  ที่มีขนาดองค์กรเล็กลงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น (Agile) ขณะที่พนักงานก็จะมีความอิสระ หรือที่เรียกว่าเป็น Freelance ที่สามารถทำงานจากทางไกลทุกที่ในโลกได้

 การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ระบบการศึกษายังไม่สามารถปรับตัวทันได้  ยังคงเน้นเรียนจบปริญญาตรี 4 ปี แม้จะมีการฝึกอบรมต่างๆก็ยังไม่เพียงพอ เพราะตลาดแรงงานยังมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มคุณภาพ (Talent)มาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2550 

ดังนั้นจำเป็นอย่างที่เราต้องมีการเพิ่มทักษะให้ตัวอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงความสามารถของเราให้ตรงกับที่ตลาดแรงงานต้องการ  โดยเริ่มจากการถามตัวเองว่า ทักษะที่มีอยู่ยังเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานหรือไม่ เพื่อที่จะทำให้เรายอมรับและพร้อมที่จะพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มศักยภาพของตัวเอง ซึ่งหมายถึงการเพิ่มรายได้ให้กับตัวเองในอนาคตด้วย

 อย่างไรก็ตามสำหรับช่วงที่หลายคนรู้สึกว่าโลกทุกวันนี้กำลังถูกคุกคามด้วยภัยจากเทคโนโลยี โดยเฉพาะจาก หุ่นยนต์ (Robotics) และ  AI ( Artificial Intelligent)   ซึ่งนับจากนี้ไปจะเป็นคำที่เราได้ยินกันอย่างต่อเนื่อง  เพราะจะเป็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกๆในอีก 10 ปีข้างหน้า  

 โดยเทคโนโลยีเหล่านี้อยู่ในรูปของรถยนต์อัตโนมัติไร้คนขับ Self-Driving  Car  ซึ่งจะทำหน้าที่แทนคนขับรถบรรทุก คนขับแท็กซี่  ขณะที่หุ่นยนต์จะเข้ามาทำงานในโรงงานต่างๆ รวมถึง Drone จะทำหน้าที่เป็นบุรษไปรณีย์ส่งของ/สัมภาระ ไปตามที่ต่างๆ  และที่สำคัญที่สุด AI จะเข้ามาทำงานแทนพนักงานออฟฟิศ

 รู้จัก 7 สาขาอาชีพสร้างรายได้ใน ศตวรรรษที่21

ทั้งนี้  Josh Elman  ซึ่งเป็นนักลงทุนคนสำคัญในบริษัทเทคโนโลยีใน Silicon valley ได้เปิดเผยว่ามีงาน 7 ประเภท ที่ในอนาคตจะเป็นที่ต้องการและสามารถทำเงินได้มหาศาล  เพราะทุกวันนี้บริษัทต่างๆ ได้ทุ่มเททรัพยากรเพื่อวิจัยและพัฒนาอ (Research and Development: R&D)อยู่  ได้แก่

 1)  ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence )

2) เทคโนโลยีโลกเสมือนผสานโลกแห่งความจริง (Augmented reality)

3)  เทคโนโลยีความเป็นจริงเสมือน (Virtual reality)

4 เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับ (Drones)

5) หุ่นยนต์  (Robotics)

6) การศึกษาพันธุศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต (Genomics)

7) เทคโนโลยีการเชื่อมต่อสมองของมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ Brain-machine interfaces (BMI)

 

เปิด 13 นวัตกรรม  รับมืองานเทคโนโลยี 4.0

ทั้งนี้ 7อาชีพดังกล่าวสามารถเข้าถึงและเตรียมพร้อมเพื่อความรู้เท่ากันและสามารถนำเทคโนโลยีในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 มาใช้ประโยชน์   โดยมี 13 สาขาการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

 1.AI หรือปัญญาประดิษฐ์   เพื่อทำให้หุ่นยนต์ฝเครื่องจักรฉลาดมากขึ้น เหมือนสมองของมนุษย์ (Machine Learning, Deep Learning และ Neural networks) 

2. การเรียนเกี่ยวก้บการสร้างภาพเสมือนจริง  Augmented reality/mixed reality  

3. การสร้างโลกเสมือนจริง  Virtual reality 

4. Drones การใช้ โดรนในรูปแบบต่างๆ  ทั้งการบิน การขับ การเดิน และ การว่ายน้ำ 

 5. หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ  เพื่อใช้ในโรงงาน ในโครงการทดลองวิทยาศาสตร์ต่างๆ การฝึกให้เป็นผู้ช่วย และในรูปแบบอื่นๆที่หุ่นยนต์สามารถเข้ามามีบทบาทในชีวืตของเราได้

 6. ด้านพันธุกรรม/พันธุศาสตร์ (Genomics) การเรียนรู้การทำงานของ DNA ของสิ่งมีชีวิต  เพื่อพัฒนาให้แข็งแรงขึ้น 

7. การเชื่อมต่อสมองคนกับคอมพิวเตอร์ Brain-machine interfaces เป้าหมายคือ เพื่อให้สมองสามารถเก็บข้อมูลและประมวลผลได้รวดเร็วแบบ AI 

8. นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล  Data science เรียนรู้เรื่องการทำความเข้าใจ/จัดการ/ลบทำความสะอาดข้อมูล อย่างมีประสิทธิภาพ

9.Blockchain เทคโนโลยีที่ใช้ในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องผ่านบุคคลที่สาม ซึ่งจะมีความโปร่งใสและมีความน่าเชื่อถือได้มากกว่า 

10. Internet of things คือ การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต

 11. Nanotechnology  คือ เทคโนโลยีประยุกต์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดการ การสร้าง การสังเคราะห์วัสดุหรืออุปกรณ์ในระดับของอะตอม โมเลกุลหรือชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็ก ซึ่งจะส่งผลให้วัสดุหรืออุปกรณ์ต่างๆ มีหน้าที่ใหม่ๆ และมีคุณสมบัติที่พิเศษขึ้นทั้งทางด้านกายภาพ เคมี และชีวภาพ ทำให้มีประโยชน์ต่อผู้ใช้สอยและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้

 12. Quantum computing  คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่เปลี่ยนจากการทำงานบนแผงวงจร มาใช้คุณสมบัติพิเศษของอะตอมแทน และประมวลผลที่เร็วมหาศาล

 13. 3D printing  คือ เครื่องพิมพ์ 3 มิติ  ซึ่งเป็นนวัตกรรมการพิมพ์ที่ทำให้งานที่คุณคิดหรือออกแบบไว้ ถูกผลิตออกมาได้อย่างสมจริงมีรูปลักษณ์ สามารถจับต้องได้ รวมถึงการนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง

 

เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงพัฒนาศักยภาพ “มนุษย์” ให้สูงที่สุด

 ทั้งหมดเหล่านี้แม้จะไม่ใช่อาชีพโดยตรง แต่เป็นความรู้และนวัตกรรมที่จะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ในอนาคตข้างหน้าโดยตรงและจะเป็นประโยชน์ในภายภาคหน้าสำหรับผู้ที่เตรียมความพร้อมนี้ก่อน  เพราะมันคือ กุญแจ ที่จะนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์และได้ใช้ศักยภาพของเราแบบที่ไม่เคยมามีมาก่อน

ทั้งนี้ในอนาคตเมื่อ AI ได้จับคู่กับหุ่นยนต์คงก็จะมีการพัฒนาตัวเองในระดับสูงสุด และอาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพา “คน” มากนัก นับเป็นโจทย์สำคัญให้เราต้องเรียนรู้เท่าทันเทคโนโลยีเหล่านี้ เพื่อให้เราปลอดภัยจาก “ระบบอัตโนมัติ” ที่ไร้ซึ่งการควบคุมนั่นเอง 

ซึ่งในเรื่องนี้ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้ง บริษัท และ  ผู้กำหนดนโยบาย ต้องตื่นตัวในเรื่องนี้ด้วย  โดยบริษัทควรเสนอการฝึกอบรมที่ยืดหยุ่นมากขึ้นสำหรับพนักงานทุกคนทั้งพนักงานและอิสระเพื่อให้พนักงานมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทำโครงการของตัวเองได้

  ขณะที่รัฐบาลควรมีการลงทุนในทักษะแรงงานเพื่ออำนวยความสะดวกระหว่างภาครัฐและเอกชนในการจัดอบรมโปรแกรมการฝึกงานและการฝึกงานและการฝึกอาชีพที่เตรียมความพร้อมให้กับเยาวชน สำหรับงานที่ไม่จำเป็นต้องได้รับปริญญา แต่สำหรับอุตสาหกรรมที่มีความเฉพาะเจาะจงโดยเฉพาะในด้านดิจิทัล

 สำหรับพวกเราทุกคนก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ดูมองไปข้างหน้าว่า 5 ปีจากนี้ไป ทักษะที่มีอยู่จะยังเพียงพอหรือไม่  ทั้งนี้ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนทักษะตัวเองได้ในเพียงข้ามคืน ทุกอย่างต้องเริ่มจากกการจัดลำดับความสำคัญ  เพราะไม่ว่าเราจะเป็นพนักงานขับรถหรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็มีสิทธิที่จะตกงานได้ทั้งสิ้น ความปลอดภัยของงานในยุคศตวรรษที่ 21  คือ การมีทักษะใหม่ๆ เพื่อพัฒนาศัภยภาพตัวเองในการทำงานนั่นเอง


###