ทั้งนี้ก่อนการเริ่ม workshop 3D Printer เปิดโลกคนกว้างให้คนพิการเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ทีม ProgressTH ได้มีโอกาสนั่งคุยกับ อาจารย์อุดมโชค ชูรัตน์ ผู้อำนวยการโรงเรียน และทำให้พบว่าโรงเรียนแห่งนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพราะนอกจะเป็นเลิศเรื่องการฟื้นฟูคนพิการให้สามารถช่วยตัวเองได้ จนอยู่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างสมศักดิ์ศรีแล้ว โรงเรียนแห่งนี้ยังสอนให้ศิษย์ที่นี่มีจิตสาธารณะด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจึงเห็นพวกเขาเป็นทัพหน้าผลักดันเรื่องความเท่าเทียมในสังคมเพื่อประชาชนทุกคน
หลักสูตรก้าวหน้า เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน
อาจารย์อุดมโชค เล่าว่า ต้องขอบคุณ คุณพ่อเรย์ คุณพ่อเรย์มอนล์ แอลลีน เบร็นนัน ที่ตั้งโรงเรียนนี้ขึ้นมา เพื่อต้องการให้เป็นแสงสว่างให้กับชีวิตคนพิการ เพื่อให้คนพิการสามารถอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี โดยในยุคแรกเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยมองการณ์ไกล เปิดหลักสูตร สอนคอมพิวเตอร์ให้คนพิการ เพราะตอนนั้นความรู้ด้านนี้ยังไม่แพร่หลายและเป็นที่ต้องการของตลาดมาก ทำให้ท่านคิดว่า งานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์นั้นแหมาะกับคนพิการซึ่งส่วนใหญ่เคลื่อนไหวไม่ได้แต่ยังสามารถใช้นิ้วได้
ประสบการณ์จากตอนนั้นซึ่งเป็นโรงเรียนแรกที่เน้นการสอนเรื่องคอมพิวเตอร์ จนถึงเวลานี้ ได้ทำให้โรงเรียนแห่งนี้ ขึ้นชื่อเรื่องความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และเป็นโรงเรียนฝึกอาชีพคนพิการที่ดีที่สุดในเอเชีย เห็นได้จากหลักสูตรที่สอนที่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น 1. อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ได้ 2. การพัฒนาระบบสารสนเทศ นำไปสู่การเป็นโปรแกรมเมอร์ 3. คอมพิวเตอร์และการจัดการธุรกิจภาคภาษาอังกฤษ โดยสอนภาษาอังกฤษทั้งหลักสูตร และ 4. เทคโนโลยีการเขียนแบบแม่พิมพ์ โดยแต่ละหลักสูตรใช้เวลา 2 ปี นอกจากนี้ ยังมีการสอนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน(ป.1-ม.3) ด้วย
โดยอาจารย์อุดมโชค เล่าให้ฟังว่า หลักสูตรที่นี่จะปรับให้ทันสมัยตลอดเวลาโดยดูจากความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อเป็นหลักประกันว่าคนพิการจบไปต้องได้งานและสามารถดูแลตัวเองได้ ซึ่งในตลาดแรงงานสำหรับคนพิการไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องร่างกายอย่างเดียว แต่ต้องสู้เรื่องสมองด้วย เพราะปัจจุบันคนพิการส่วนใหญ่ที่เรียนที่นี่ 80% มาจากอุบัติ ซึ่งมีผลกระทบต่อสมอง การเคลื่อนไหว และอีก 20% พิการมาแต่กำเนิด
“ดังนั้นทุกครั้งที่ผมต้องพูดเรื่องความพิการ ไม่ว่าจะเป็นมุมเรื่อง เรื่องความมั่นคง การดำรงชีวิต การบริการต่างๆที่คนพิการจะเข้าถึงได้ มันไม่ใช่แค่เพียงแค่คนพิการเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของทุกคน ที่ทุกคนมีโอกาสที่จะมีโอกาสพิการจากอุบัติได้ เพราะอุบัติเหตุได้ทุกเมื่อ ไม่มีใครรู้ว่าใครจะรายต่อไป ยังรวมถึงผู้สูงอายุด้วย สำหรับคนพิการแล้ว อยากจะบอกว่า คุณอาจจะสูญเสียไปบางอย่าง ที่อนาคตและความก้าวหน้ามันไม่ได้สูญเสียไปด้วย”
โปรแกรมเมอร์ Microsoft ผลิตผลจาก "มหาไถ่"
โดยศิษย์เก่ารุ่นที่ 1 ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างดี คือ พี่ซาบะ มานิตย์ อินทร์พิมพ์ ผู้ก่อตั้งเพจ Accessibility Is Freedom โดยทางทีม ProgressTH ได้พูดคุยกับพี่ซาบะ ในเรื่องนี้ โดยพี่ซาบะ บอกว่า ได้รับความรู้ต่างๆจากที่ โรงเรียนอาชีวะพระมหาไถ่ อย่างมากมาย จนทำให้สามารถมีวันนี้ ที่สามารถเป็นโปรแกรมเมอร์ได้อย่างสมความตั้งใจ
พี่ซาบะ เล่าว่าการเรียนในสมัยนั้น เนื่องจากเขาเป็นรุ่นแรกทุกอย่างยังไม่ลงตัว อาจารย์ที่สอนยังไม่มีไม่ครบ ทำให้ต้องเรียนกับอาสาสมัครต่างชาติ ทุกอย่างจึงเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งถือว่าโหดและเข้มข้นมาก แต่เป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่า เพราะหลังจากนั้นเขาได้รับการว่าจ้างเป็น Supervisor วางระบบคอมพิวเตอร์ให้กับโรงแรมในพัทยาตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
จนกระทั่งจบออกมาก็ได้ทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ให้กับหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ หนึ่งในนั้นคือ บริษัทไมโครซอฟท์ ซึ่งพี่ซาบะ เป็นหนึ่งในทีมงานสำคัญในการทำ Microsoft version 97 ภาคภาษาไทย นอกจากนี้เขาทำงานกับ Halliburton บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลกด้วย ซึ่งถือว่ามาไกลมาจากจากเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่เป็นโปลิโอตั้งแต่เด็กจนถูกห้ามจากพ่อไม่ให้เรียนต่อ
พี่ซาบะ เล่าว่า แม้พ่อแม่จะเป็นห่วงไม่อยากให้ไปไกลบ้าน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ตัดใจออกจากบ้านเพื่อเข้ามาในตัวเมืองอุดร ปั่นจักรยานรับจ้างส่งหนังสือพิมพ์เพื่อให้มีโอกาสได้เรียนคอมพิวเตอร์ จนกระทังได้รับโอกาสจากหลวงพ่อเรย์ให้มาศึกษาที่นี่ ยิ่งทำให้ความรู้ของเขาแข็งแกร่งมากขึ้นอีก
เขาเล่าต่อว่า พบจบมาพี่ก็เข้าทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ทันที เพราะอยากประกาศให้โลกรู้ศักยภาพของคนพิการ พี่อยากให้คนรู้ว่าคนพิการเก่ง สามารถขึ้นชกแข่งขันกับทุกคนได้โดยไม่มีข้อแม้ จนกระทั่ง เมื่อถึงจุดหนึ่งที่สามารถเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ เขาได้ตัดสินใจทำงานให้น้อยลงโดยรับเป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น เพื่อมีเวลาทำงานให้สาธาณะมากขึ้น จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งเพจ Accessibility Is Freedom โดยเริ่มรณรงค์เรื่องที่จอดรถคนพิการ อย่างจริงจัง จนมีผลทำให้หลายห้างสรรพสินค้า หันมาใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้น
หากใครเคยติดตามเพจนี้ จะเห็นได้ว่ามีวิดิโอต่างๆ ที่เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิพื้นที่จอดรถของคนพิการ ที่ต้องที่จอดมากกว่าคนธรรมดา เพื่อต้องมีพื้นที่ให้ Wheelchair ด้วย แต่กลายเป็นว่าคนธรรมดา รถหรูราคาแพง กลับแย่งพื้นที่จอดดังกล่าว
พี่ซาบะเลยต้องออกโรงลุกขึ้นมารณรงค์เรื่องนี้ ทั้งที่น่าจะเป็นจิตสำนึกที่มีกันได้ แต่ยังต้องพัฒนาอีกเยอะ โดยวิดิโอ และเรื่องราวทั้งหมด ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ พี่ซาบะทำเองทุกขั้นตอนไม่ว่าจะเป็น การถ่าย ตัดต่อ ลงเสียง แปล ฯลฯ All in One จากผู้ชายคนนี้
นอกจากนี้ ศิษย์รุ่นที่ 1 จากอาชีวะพระมหาไถ่ คือ อาจารย์ตั๋น สุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ซึ่งถือว่าเป็นแถวหน้าของนักต่อสู้เพื่อสิทธิคนพิการในตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ซึ่งอาจอาจารย์เป็นหนึ่งในผู้ฟัอง กทม.และ บีทีเอส กรณีไม่จัดสิ่งอำนวยสะดวกสำหรับคนพิการ
โดยทุกวันนี้รถไฟฟ้าระยะแรก ทั้ง 23 สถานี มีการติดลิฟต์แค่ 5 สถานีเท่านั้น ทำให้คนพิการไม่มีโอกาสได้ใช้BTS เลย เพราะขึ้นไปแล้วแต่ลงไม่ได้ ผลจากการฟ้องร้องดังกล่าวทำให้ศาลปกครองสั่งให้หน่วยงานทั้งสอง ต้องติดตั้งลิฟต์ให้ครบทุกสถานนีภายในเดือน ม.ค. 2559 ซึ่งต้องติดตามกันว่า ทั้งสองหน่วยงานจะรับผิดชอบเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมหรือไม่ ซึ่งลิฟต์นี้ไม่ใช่ประโยชน์ต่อคนพิการเท่านั้น แต่ยังเพื่อคนชรา ผู้หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วย นักเดินทางที่มีกระเป๋าใบใหญ่ ฯลฯ อีกด้วย
ส่องชีวิตเด็กแกร่งกับทางลาดสูง 6 ชั้น
อาจารย์อุดมโชค ได้พาเราเดินดูโรงเรียนและชี้ไปที่อาคารเรือนนอนของนักเรียน ซึ่งที่นี่เป็นโรงเรียนประจำ กินนอน เรียนหนังสือที่นี่ ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โรงเรียนแห่งนี้จึงเป็นเสมือนบ้านหลังที่สองของทุกคน เด็กส่วนใหญ่ที่นี่พิการด้านการเคลื่อนไหว ส่วนมากต้องใช้รถเข็น หรือไม้เท้า
โดยในนาทีนั้น ได้มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งที่ใช้รถเข็นไฟฟ้าบังคับด้วยเท้า เป็นรถขบวนนำหน้าและให้เพื่อนๆที่มีรถเข็นธรรมดาเกาะ เป็นขบวนเพื่อขึ้นไปอาคารนอน โดยอาคารดังกล่าวเป็นตึก 6 ชั้น และมีการสร้างทางลาดเพื่อให้นักเรียนเข็นรถเข็นขึ้น แม้จะเป็นทางลาด 1 ต่อ 12 เมตร (ทางลาดยาว 12 เมตร จุดสูงสุด 1 เมตร ซึ่งระดับธรรมดา ยังเดินยากและเล่นเอาเหนื่อยแล้ว คนพิการที่ใช้รถเข็นย่อมไม่ต้องพูดถึง
ภาพที่เห็นทำพวกเรานิ่งไปถนัด เพราะไม่มีคำบรรยาย นอกจากเห็นใจกับสภาพที่เกิดขึ้น อาจารย์อุดมโชคบอกว่า แม้ในอาคารจะมีลิฟต์แต่รถเข็นขึ้นได้ครั้งละ 3 คนเท่านั้น และลิฟต์ยังเสียบ่อยครั้ง ทำให้โรงเรียนสร้างทางลาดขึ้นมา แต่ก็ยังมีปัญหา เพราะการขึ้นลงแต่ละครั้งลำบากมาก ทางโรงเรียนมีไอเดียที่จะทำให้รอกเชือกให้นักเรียนจับ โดยใช้มอเตอร์เป็นตัวหมุนรอกขึ้นไปตามชั้นต่างๆ แต่กำลังหางบประมาณอยู่
แปลนก่อสร้างรูปอาคารนอน ที่น้องๆ โรงเรียนพระมหาไถ่ต้องเข็นรถเข็นขึ้นไปทุกวัน |
ระหว่างการทำ workshop ช่วงที่นั่งรอการปริ๊นท์ ทีม ProgressTH ได้มีโอกาสนั่งคุยกับน้องๆ หลายคน อาทิเช่น น้องเอก ซึ่งมาจากสงขลา ถือว่าไกลมาก น้องเอกเล่าว่า แม่ไม่อยากให้มาและบอกว่าดูแลลูกได้ แต่ตัวเองอยากจะมา เพราะอยากดูแลช่วยเหลือตัวเองได้ โดยน้องเอก เป็นหนึ่งในเหยื่อเมาแล้วขับ ทำให้สลบไปนานถึง 6 เดือน ตื่นมาจำอะไรไม่ได้ เริ่มทบทวนรักษาตัวเองจากการนั่งสมาธิ ทำให้ทุกวันนี้เขาสามารถกลับมาจำได้อีกครั้ง แต่การเดินต้องใช้ไม้เท้า และเป็นหนึ่งในทีมรณรงค์ "เมาไม่ขับ" มาหลายปีแล้ว
น้องเอกบอกว่า เหนื่อยมากในการเดินอาคารนอน ปวดหาไปหมด อย่างไรก็ตามแค่นี้ถือเล็กน้อย สำหรับชีวิตคนพิการอย่างเขา ที่เหมือนชีวิตตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง จากนี้ไปเขาจะรับใช้สังคมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งทำให้เราสะเทือนใจขึ้นไปอีก ขณะที่เพื่อนของน้องเอก ซึ่งมีรอยยิ้มตลอดเวลา เล่าให้ฟังว่า โดนรถชนตั้งแต่ 5 ขวบ ตอนนั้นเด็กมาก ทำให้สมองยุบไปข้างหนึ่ง แต่ก็มีชีวิตรอดมาได้ มาเรียนที่นี่เพราะอยากมีความรู้และช่วยเหลือตัวเองได้
น้องเอกและเพื่อน ที่ยิ้มสดใส และสายตามีพลังมีความหวังเสมอ |
ลิงค์ที่น่าสนใจ
เจาะใจ - ติ๊ก เจษฏาพร เป็นคนพิการ โรงเรียนอาชีวะพระมหาไถ่
https://www.youtube.com/watch?v=IG-gMVMZXMQติดตาม ProgressTH.org ใน Facebook ที่นี่ และ Twitter ที่นี่